文章
EEC & LOGISTICS DEVELOPMENT
27/06/2018ความได้เปรียบด้านตำแหน่งที่ตั้งทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงเป็นอันดับต้นๆ ในการเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน เนื่องด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตรงศูนย์กลางของภูมิภาค และเป็นประตูสู่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั้งจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงมีพรมแดนติดต่อกับประเทศอาเซียนอื่นๆ อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา
ในอดีต ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ยังไม่สูงเท่าปัจจุบันเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ราคาที่ดิน ค่าก่อสร้างดำเนินการไปจนถึงค่าแรงของประเทศไทยยังไม่สูงมากและแรงงานยังหาได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยขาดการลงทุนด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจังเป็นระยะเวลานานทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 14 ของ GDP เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคอาเซียนรองจากประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย รัฐบาลจึงได้กำหนดเป้าหมายเพื่อผลักดันต้นทุนโลจิสติกส์ให้ลดเหลือร้อยละ 12 ภายในปี 2564 อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีความเห็นว่า ในระยะยาวต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศจำเป็นต้องลดลงมาอยู่ที่ระดับเลขหลักเดียวจึงจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันด้านโลจิสติกส์กับนานาประเทศได้
นอกจากนั้น ระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยต้องสามารถเชื่อมโยงกับกับอนุภูมิภาคและภูมิภาคอย่างเป็นระบบ แนวความคิดที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ ยุทธศาสตร์ The Belt and Road Initiative (BRI) ของรัฐบาลจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบกและทางทะเลจากประเทศจีนผ่านทวีปเอเชียกลางไปยังทวีปยุโรป โครงการ EEC จึงถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – หนองคายซึ่งเป็นแนวเส้นทางเชื่อมต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่บริเวณอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยมีจุดเชื่อมเพื่อตัดเส้นทางเข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ของโครงการ EEC และสามารถเชื่อมเข้ากับระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทั้งทางบก ทางอากาศและทางน้ำได้อย่างครบวงจร
การผลักดันโครงการต่าง ๆ ภายในพื้นที่ EEC จะมีส่วนช่วยทำให้ระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้มีการส่งเสริมให้บริษัทรายใหญ่เข้ามาลงทุน ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขัน มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ และช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศในระยะยาว รวมถึงช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดโลก ช่วงที่ผ่านมาเรื่องที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างมากก็คงเป็นข่าวบริษัท E-Commerce ยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba Group เข้ามาเซ็นต์ MOU 4 ฉบับกับรัฐบาลไทย เพื่อเตรียมลงทุนใน Smart Digital Hub ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง E-Commerce ของภูมิภาคและ ร่วมส่งเสริมพัฒนาทักษะด้าน Digital E-Commerce ให้แก่ผู้ประกอบการ SME และ Startup ของไทย
ความเชื่อมั่นของ Alibaba Group ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศน่าจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยของเราในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และ E-Commerce ของภูมิภาค ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาอันดีสำหรับประเทศไทยที่จะช่วงชิงความเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในจังหวะที่ประเทศมาเลเซียกำลังประสบปัญหาภาระหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงถึงหลัก 1 ล้านล้านริงกิต หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนทำให้ต้องชะลอการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงมาเลเซีย-สิงคโปร์ หรือ East Coast Rail Link (ECRL) ไปก่อน
อาทิตย์หน้าเราก็จะมาคุยกันถึงอีกหนึ่งโครงการที่มีความสำคัญ ได้แก่ โครงการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้กลายเป็นมหานครการบินภาคตะวันออกซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของเมือง ธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆ
บทความนี้ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10870 คอลัมน์ Smart EEC: EEC & Logistics Development