บทความ

Smart Sustainable Cities

28/09/2565

คุณจรีพร จารุกรสกุล

ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

Urbanization หรือ การเติบโตของเขตเมืองอย่างรวดเร็วนั้นถือเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และทำให้หลายประเทศต่างหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน หนึ่งใน 17 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ ที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ให้มีความปลอดภัย ทั่วถึง ยืดหยุ่น และยั่งยืนนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงได้มีความพยายามสนับสนุนการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ ที่ได้รับการจัดอันดับโดย IMD Smart City Index (SCI) ประจำปี 2021 ให้เป็นเมืองอัจฉริยะที่สุดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เช่น ระบบประกันสุขภาพแบบดิจิทัล การใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตลอดจนการใช้ sensor จัดเก็บข้อมูลเพื่อนำมาประมวลผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ ยังมี กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้เทคโนโลยี อาทิ การวางระบบหลอดไฟ LED ทั่วเมืองกว่า 650,000 ดวง ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายและสามารถเปิด/ปิดตามการใช้งานจริง รวมถึงส่งเสริมให้ประชากร 6.7 แสนคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ภาครัฐก็ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเมืองและชุมชุนอย่างยั่งยืนจึงได้กำหนดแนวทาง/นโยบายส่งเสริม และให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น โครงการ EEC ที่มุ่งพัฒนา “เมืองน่าอยู่สู่เมืองอัจฉริยะ” ในพื้นที่ EEC ผ่านทางการให้สิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อดึงดูดให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนและร่วมกันพัฒนากิจการด้านระบบสาธารณูปโภค อาทิ การผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ ระบบไฟฟ้าโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เป็นต้น โดยเมืองอัจฉริยะนี้ได้ถูกคาดการณ์ว่าจะสามารถรองรับประชากรถึง 350,000 คน และสร้างงานทางตรงได้ไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่งภายในปี 2575 เลยทีเดียว

ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเองก็มีความพยายามในการเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนายกระดับเมืองอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการจัดการเมือง/ ชุมชนทั้งในเชิงกายภาพและเชิงโครงสร้าง อาทิเช่น WHAUP ผู้นำด้านธุรกิจการให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ WHA Group ที่ได้นำหลักการของ Circular economy ที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ Green economy ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน มาพัฒนาโครงการ Peer-to-Peer Energy Trading ที่เป็น Platform สำหรับการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนที่ไม่ต้องอาศัยคนกลาง นอกจากนี้ ยังมี WHAID อีกหนึ่งบริษัทในเครือ WHA Group ผู้พัฒนา นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estates) ที่ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ Internet of Things, ระบบเฝ้าดูและควบคุม (SCADA), ระบบควบคุมการจราจร และระบบนำทัวร์เสมือนจริง 360° เป็นต้น มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในนิคมอุตสาหกรรม และยังมีส่วนช่วยให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถลดผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเดินทางเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ จึงส่งผลให้ WHA Group สามารถปรับเป้ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในปี 2022 จากเดิมที่ตั้งไว้ 1,250 ไร่ เป็น 1,650 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนชาวต่างชาติที่ทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า การพัฒนา Smart Sustainable Cities นับเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงแห่งโลกอนาคต ที่จะช่วยให้เมืองต่าง ๆ สามารถพึ่งพาตนเองและดูแลประชากรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คน อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติที่ไม่จำเป็น ลดมลภาวะ และทำให้เมือง/ ชุมชน สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาวนั่นเอง