文章
ELECTRONIC WASTE
17/03/2025คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก และ กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน โดยรายงานของสหประชาชาติระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2022 ปริมาณขยะ E-waste ทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และคาดว่าอาจสูงถึง 82 ล้านตันภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม มีเพียง 22.3% ของขยะเหล่านี้ที่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธีด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งหมายความว่าทรัพยากรมูลค่าสูงกว่า 62 พันล้านดอลลาร์ กำลังถูกละเลยและทิ้งให้สูญเปล่า เพราะขาดมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทวีความรุนแรงขึ้น คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกอัปเกรดอยู่เสมอและผู้บริโภคจึงเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยขึ้น ส่งผลให้อายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์สั้นลงและก่อให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก นอกจากนี้ การขาดความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบของ E-waste ก็ยังทำให้การจัดการขยะเหล่านี้ไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร อีกทั้งการลักลอบนำเข้า-ส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผิดกฎหมายไปยังประเทศกำลังพัฒนา ยิ่งเข้ามาซ้ำเติมให้ปัญหายิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เนื่องจากประเทศเหล่านี้มักยังขาดโครงสร้างการจัดการที่เหมาะสม ทำให้ขยะเหล่านี้ถูกการกำจัดอย่างผิดวิธี เช่น การเผา การทิ้งลงหลุมและฝังกลบ เป็นต้น
ซึ่งการกำจัด E-waste อย่างผิดวิธีนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่รุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารพิษในดินและน้ำจากการกำจัดที่ไม่ถูกต้อง สารพิษเหล่านี้สามารถซึมลงสู่ดินหรือไหลลงสู่แหล่งน้ำทำให้เกิดการปนเปื้อนในอาหารที่มนุษย์บริโภคซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในเด็กที่อาจได้รับผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท อีกทั้งการเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงยังทำลายชั้นโอโซนซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศโดยรวม ด้วยเหตุนี้ E-waste จึงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะส่งผลเสียต่อ “คุณภาพชีวิต” ของทุกชีวิตบนโลก
ดังนั้น การจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรับมือที่ครอบคลุม ตั้งแต่ควบคุมการผลิตและนำเข้า-ส่งออก ไปจนถึงการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแล การให้ความรู้แก่ประชาชน และการส่งเสริมให้ผู้ผลิตมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ของตน (Extended Producer Responsibility - EPR) ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน โดยมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ประเทศจีนที่กำหนดให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสินค้าของตนเองให้ได้อย่างน้อย 30% หรือ ในสหราชอาณาจักรที่ออกกฎหมายเพิ่มเติมและสร้างโรงกษาปณ์เพื่อสกัดทองคำจากขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อหมุนเวียนกลายเป็นเหรียญไว้ใช้ในประเทศ เป็นต้น
ทางออกของปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถอาศัยเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ผลิต และผู้บริโภค โดยการพัฒนานโยบายที่เข้มงวด เทคโนโลยีรีไซเคิลที่ทันสมัย และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างยั่งยืน หากทุกฝ่ายร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางของวงจรผลิตภัณฑ์ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ แต่ยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตขยะ E-waste ให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เติบโตไปพร้อมกับความยั่งยืนของโลกในอนาคต