ข่าวสารบริษัท
บริษัทเหมราชประกาศผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จำนวน 1,216 ล้านบาท
01/03/2554
บริษัทเหมราชประกาศผลกำไรสุทธิสำหรับปี 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จำนวน 1,216 ล้านบาท
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปี 2553 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิสำหรับปี 2553
สำหรับปี 2553 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,215.9 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จากปี 2552 การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิในปี 2553 มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมะ การเพิ่มขึ้นจากการเช่าและขายโรงงานสำเร็จรูปและจากการขายโครงการที่พักอาศัยรวมไปถึงกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานจำนวน 394 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.125 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 เมื่อเทียบกับปี 2552
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า
“ผลประกอบการสำหรับปี 2553 ของบริษัทเหมราชฯ ได้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของการลงทุนในอุตสาหกรรมในตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการในการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ ความสามารถในการแข่งขันทั้งทางด้านต้นทุนและอัตราแลกเปลี่ยนรวมไปถึงโอกาสในการกลุ่มทางอุตสาหกรรม ดังที่สะท้อนให้เห็นในรายได้ของบริษัทฯ ด้วยรายได้ 4,020.2 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 81 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,215.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จากปี 2552 โดยรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 394 ล้านบาท
ยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2553 ยังคงแข็งแกร่งจากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายรวมจำนวน 930 ไร่ ( 372 เอเคอร์) แม้จะได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเคมีก็ตาม โดยยอดขายนี้ได้รวมยอดขายที่ดินเมื่อต้นปี 2553 ให้กับบริษัทฟอร์ดมอเตอร์จำกัดเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของภูมิภาคบนพื้นที่ 468 ไร่(187 เอเคอร์) ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด “ดีทรอย์ตะวันออก” เราเชื่อมั่นว่าโอกาสในการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมได้สะท้อนเพียงบางส่วนของอัตราการเติบโตของการผลิตยานยนต์ด้วยสถิติ 1,645,000 คัน ในปี 2553 (เป็นอันดับที่ 13 ของโลก) โดยมีโรงงานยานยนต์และผลิตภัณฑ์เกิดใหม่อื่นอื่นตามมา
บริษัทฯ ดำเนินแผนธุรกิจภายใต้โอกาสและการลงทุนที่สำคัญเพื่อขยายฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ด้วยสภาพคล่องที่สูง รวมถึงการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 ในโครงการเก็คโค่-วันที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างเช่นเดียวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงาน โรงงานและสาธารณูปโภคอื่น ในปี 2553 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) และบริษัท ระยองที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด (อาร์ ไอ แอล) ที่เป็นบริษัทย่อยของบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย
ในเรื่องแหล่งเงินกู้ ในปี 2553 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (โดยมีบางส่วนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได) เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 6 พันล้านบาทมีอายุ 3 ถึง 9 ปี ซึ่งการออกหุ้นกู้นี้ได้เพิ่มสภาพคล่องและสามารถประมาณการค่าใช้จ่ายทางการเงินได้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคตในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ
นอกเหนือจากกลยุทธในการขยายฐานรายได้ที่บริษัทฯ ได้ทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้นบริษัทฯ มีการจัดการดูแลเพื่อลดความเสี่ยงโดยการเลือกโอกาสในการลงทุนธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานปี 2553
สำหรับปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 4,020.2 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 จำนวน 2,222.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 81 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 4,219.7 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 89 เปรียบเทียบกับปี 2552 รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมสำหรับปี 2553 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนจำนวน 1,501.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 113 โดยมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 788 ล้านบาทจากวิธีการรับรู้รายได้ตามการแล้วเสร็จของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่อีก 3 เฟสโดยจะเริ่มใช้มาตราฐานบัญชีใหม่ของประเทศไทยที่เปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ในปี 2554
รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,472.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยรายได้จากระบบสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เป็น 967.7 ล้านบาทจากความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นและจากการรวมงบการเงินของเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรีและเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยองในไตรมาส 4 ปี 2553 อย่างไรก็ตามมีการลดลงของรายได้จาก capacity charge ของธุรกิจเคมีที่สะท้อนให้เห็นในรายได้จากสาธารณูปโภคอื่นๆและค่าบริการที่ลดลงร้อยละ 79
รายได้จากเช่าที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานและอื่นๆ รวมเป็นจำนวน 480.4 ล้านบาทหรือลงลงร้อยละ 7 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการจัดการการก่อสร้างที่ลดลงร้อยละ 64 อย่างไรก็ตามรายได้จากการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากความต้องการในการเช่าที่เพิ่มมากขึ้น
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูปและการขายโครงการที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 765.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5312
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,559.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 1,039.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 42% และ 28% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญปี 2553
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมทั้งสิ้น จำนวน 930 ไร่ จากจำนวนสัญญาทั้งสิ้น 41 สัญญาโดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 19 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 22 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 426 ราย จาก 643 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 148 รายจาก 223 สัญญา
• เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) จากบริษัท ซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย เป็นมูลค่าโดยประมาณ 763.7 ล้านบาท รวมกับเงินให้กู้ยืมของบริษัทกับ เอส ไอ แอล จำนวนเงิน 380 ล้านบาท
• คณะกรรมการบริษัทฯ มีความเห็นที่จะนำเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้มีการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังจำนวน 0.030 บาทต่อหุ้น หรือรวมเป็นจำนวน 0.055 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการปี 2553 โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 บริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ไปแล้วจำนวน 0.025 บาทต่อหุ้น
• เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตของบริษัทฯ ที่ระดับ “A-” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “คงที่” จาก “ลบ”
• บริษัทฯได้รับคะแนนในเกณฑ์“ดีเลิศ” ห้าโลโก้ในการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในปี 2553
งบดุลรวมสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2553
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 18,715 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 9,577 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 9,138 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.66 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากรวมเป็นจำนวน 4,283 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ – นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน
ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง
สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย
โทรศัพท์: 662 - 719 - 9555 - 9
โทรสาร: 662 - 719 - 9546 - 7
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปี 2553 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิสำหรับปี 2553
สำหรับปี 2553 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,215.9 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จากปี 2552 การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิในปี 2553 มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมะ การเพิ่มขึ้นจากการเช่าและขายโรงงานสำเร็จรูปและจากการขายโครงการที่พักอาศัยรวมไปถึงกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานจำนวน 394 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.125 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 เมื่อเทียบกับปี 2552
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า
“ผลประกอบการสำหรับปี 2553 ของบริษัทเหมราชฯ ได้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของการลงทุนในอุตสาหกรรมในตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการในการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ ความสามารถในการแข่งขันทั้งทางด้านต้นทุนและอัตราแลกเปลี่ยนรวมไปถึงโอกาสในการกลุ่มทางอุตสาหกรรม ดังที่สะท้อนให้เห็นในรายได้ของบริษัทฯ ด้วยรายได้ 4,020.2 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 81 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,215.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 จากปี 2552 โดยรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 394 ล้านบาท
ยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2553 ยังคงแข็งแกร่งจากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายรวมจำนวน 930 ไร่ ( 372 เอเคอร์) แม้จะได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเคมีก็ตาม โดยยอดขายนี้ได้รวมยอดขายที่ดินเมื่อต้นปี 2553 ให้กับบริษัทฟอร์ดมอเตอร์จำกัดเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของภูมิภาคบนพื้นที่ 468 ไร่(187 เอเคอร์) ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด “ดีทรอย์ตะวันออก” เราเชื่อมั่นว่าโอกาสในการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมได้สะท้อนเพียงบางส่วนของอัตราการเติบโตของการผลิตยานยนต์ด้วยสถิติ 1,645,000 คัน ในปี 2553 (เป็นอันดับที่ 13 ของโลก) โดยมีโรงงานยานยนต์และผลิตภัณฑ์เกิดใหม่อื่นอื่นตามมา
บริษัทฯ ดำเนินแผนธุรกิจภายใต้โอกาสและการลงทุนที่สำคัญเพื่อขยายฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ด้วยสภาพคล่องที่สูง รวมถึงการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 ในโครงการเก็คโค่-วันที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างเช่นเดียวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงาน โรงงานและสาธารณูปโภคอื่น ในปี 2553 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) และบริษัท ระยองที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด (อาร์ ไอ แอล) ที่เป็นบริษัทย่อยของบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย
ในเรื่องแหล่งเงินกู้ ในปี 2553 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (โดยมีบางส่วนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได) เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 6 พันล้านบาทมีอายุ 3 ถึง 9 ปี ซึ่งการออกหุ้นกู้นี้ได้เพิ่มสภาพคล่องและสามารถประมาณการค่าใช้จ่ายทางการเงินได้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคตในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ
นอกเหนือจากกลยุทธในการขยายฐานรายได้ที่บริษัทฯ ได้ทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้นบริษัทฯ มีการจัดการดูแลเพื่อลดความเสี่ยงโดยการเลือกโอกาสในการลงทุนธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานปี 2553
สำหรับปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 4,020.2 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 จำนวน 2,222.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 81 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 4,219.7 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 89 เปรียบเทียบกับปี 2552 รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมสำหรับปี 2553 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนจำนวน 1,501.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 113 โดยมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 788 ล้านบาทจากวิธีการรับรู้รายได้ตามการแล้วเสร็จของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่อีก 3 เฟสโดยจะเริ่มใช้มาตราฐานบัญชีใหม่ของประเทศไทยที่เปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ในปี 2554
รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,472.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยรายได้จากระบบสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เป็น 967.7 ล้านบาทจากความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นและจากการรวมงบการเงินของเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรีและเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยองในไตรมาส 4 ปี 2553 อย่างไรก็ตามมีการลดลงของรายได้จาก capacity charge ของธุรกิจเคมีที่สะท้อนให้เห็นในรายได้จากสาธารณูปโภคอื่นๆและค่าบริการที่ลดลงร้อยละ 79
รายได้จากเช่าที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานและอื่นๆ รวมเป็นจำนวน 480.4 ล้านบาทหรือลงลงร้อยละ 7 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการจัดการการก่อสร้างที่ลดลงร้อยละ 64 อย่างไรก็ตามรายได้จากการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากความต้องการในการเช่าที่เพิ่มมากขึ้น
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูปและการขายโครงการที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 765.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5312
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,559.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 1,039.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 42% และ 28% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญปี 2553
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมทั้งสิ้น จำนวน 930 ไร่ จากจำนวนสัญญาทั้งสิ้น 41 สัญญาโดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 19 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 22 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 426 ราย จาก 643 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 148 รายจาก 223 สัญญา
• เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) จากบริษัท ซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย เป็นมูลค่าโดยประมาณ 763.7 ล้านบาท รวมกับเงินให้กู้ยืมของบริษัทกับ เอส ไอ แอล จำนวนเงิน 380 ล้านบาท
• คณะกรรมการบริษัทฯ มีความเห็นที่จะนำเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้มีการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังจำนวน 0.030 บาทต่อหุ้น หรือรวมเป็นจำนวน 0.055 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการปี 2553 โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 บริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ไปแล้วจำนวน 0.025 บาทต่อหุ้น
• เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตของบริษัทฯ ที่ระดับ “A-” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “คงที่” จาก “ลบ”
• บริษัทฯได้รับคะแนนในเกณฑ์“ดีเลิศ” ห้าโลโก้ในการกำกับดูแลกิจการจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยในปี 2553
งบดุลรวมสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2553
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 18,715 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 9,577 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 9,138 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.66 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากรวมเป็นจำนวน 4,283 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ – นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน
ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง
สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย
โทรศัพท์: 662 - 719 - 9555 - 9
โทรสาร: 662 - 719 - 9546 - 7