ข่าวสารบริษัท

เหมราชฯปรับเพิ่มเป้าขายที่ดินปี 2555 เป็น 2,000 ไร่ ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี

30/04/2555

พร้อมรายงานผลการดำเนินงาน ปี 2554 แข็งแกร่งในทุกด้านคาดปี 2555 จะเป็นปีแห่งการสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องอีกปีหนึ่งโดยเฉพาะด้านยอดขายที่ดินและการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูป

กรุงเทพฯ 30 เมษายน 2555 : บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ปรับเพิ่มเป้าขายที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมปี 2555 เป็น 2,000 ไร่ (800 เอเคอร์ หรือ 320 เฮกตาร์) จากเดิมที่ตั้งไว้ 1,700 ไร่ (680 เอเคอร์ หรือ 272 เฮกตาร์) ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2555 จะสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องอีกปีหนึ่ง โดยรายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 40 - 50% การให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้า จะเพิ่มขึ้นสูงถึง ร้อยละ 60 และ การให้บริการด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 นอกจากนี้บริษัทฯยังรายงานผลประกอบการปี 2554 มีความแข็งแกร่งทุกด้าน และที่ประชุมได้มีมติจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังจำนวน 0.030 บาทต่อหุ้น หรือรวมเป็นจำนวน 0.055 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการปี 2554

นายเดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งสำหรับปี 2554 ในทุกธุรกิจของบริษัทฯ เราได้ขยายผลิตภัณฑ์และแหล่งที่มาของรายได้ในขณะที่มีการลงทุนที่ต่อเนื่องที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในอนาคต”

การลงทุนของลูกค้าจากอุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ในปี 2554 มียอดขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจำนวน 1,670 ไร่ (668 เอเคอร์ หรือ 267 เฮกตาร์) มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 โดยมีจำนวนสัญญารวมทั้งสิ้น 74 สัญญา เป็นลูกค้ารายใหม่ 49 สัญญา และ อีก 25 สัญญาเป็นการขยายโครงการจากลูกค้าเดิม ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในปี 2554 เติบโต 52,594 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากพื้นที่เช่ารวมเมื่อสิ้นปี 2553”

จากผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินได้จำนวน 928 ไร่ (371 เอเคอร์ หรือ 148 เฮกตาร์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 197 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนสัญญารวม 39 สัญญา เป็นลูกค้าใหม่ 32 ราย และเป็นการขยายโครงการของลูกค้าที่มีอยู่เดิม 7 ราย โดยในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 60 มาจากนักลงทุนญี่ปุ่นและกว่าร้อยละ 33 มาจากกลุ่มยานยนต์ ด้วยเหตุนนี้ บริษัทฯ จึงได้ปรับเป้าการขายที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมสำหรับปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ไร่ (800 เอเคอร์ หรือ 320 เฮกตาร์) จากเดิมที่เคยตั้งไว้ที่ 1,500 ไร่ (600 เอเคอร์ หรือ 240 เฮกตาร์) และปรับเป็น 1,700 ไร่ (680 เอเคอร์ หรือ 272 เฮคตาร์) ตามลำดับ

พื้นที่การให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 เพิ่มขึ้น 13,694 ตารางเมตร หรือ ร้อยละ 9 จากยอดสะสมเมื่อสิ้นปี 2554 นอกจากนี้ยังมียอดรวมพื้นที่จากการเช่าล่วงหน้าในปี 2555 อีก 14,000 ตารางเมตร ขณะนี้ อาคารคลังสินค้า 2 อาคารแรกของเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค 1 ซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวง 331 สายใหม่ ได้เสร็จสมบูรณ์พร้อมให้บริการได้แล้ว และคาดว่าการก่อสร้างอีก 7 อาคาร จะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการได้ในกลางปี 2555 ขณะเดียวกันในเดือนพฤษภาคมนี้ บริษัทฯ จะเริ่มพัฒนาเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมให้เช่าได้ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ดังนั้นเราจึงประมาณการว่าพื้นที่ให้เช่าของโรงงานสำเร็จรูป และ โลจิสติกส์พาร์ค ในปี 2555 จะมียอดรวม 100,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น ร้อยละ 60 จากยอดสะสมเมื่อสิ้นปี 2554

โรงงานผลิตไฟฟ้าขนาด 660 เมกกะวัตต์ ของบริษัท เก็คโค่-วัน ซึ่งเหมราชฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 จะเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ขณะเดียวกันเหมราชฯ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าร่วมโดยการเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 25 ในโรงงานไฟฟ้าเอสพีพีอีก 8 แห่ง โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท เหมราช เอ็นเนอร์ยี จำกัด (เหมราช เอ็นเนอร์ยี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในสัญญากับ บริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด เพื่อร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการใน บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล จำกัด (GNLL) ซึ่งจะดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตไฟฟ้า 126 เมกกะวัตต์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง เพื่อจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ) และลูกค้าอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 5,500 ล้านบาท โดยเหมราชฯ ถือหุ้น คิดเป็นอัตราร้อยละ 25.01

“บริษัทฯ คาดว่าการดำเนินงานปี 2555 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทฯ จะยังคงดำเนินนโยบายการลงทุนต่อไปในธุรกิจหลัก คือ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯเล็งเห็นถึงอุปสงค์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า คลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งใหม่ และการเพิ่มกำลังการผลิตของระบบสาธารณูปโภค ประเทศไทยจะยังคงดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยความได้เปรียบในด้านต่างๆ เช่น ต้นทุน อัตราแลกเปลี่ยน และการเข้าถึงตลาดในภูมิภาค ส่งผลให้อุปสงค์ด้านนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นตามมา” นายเดวิด นาร์โดน กล่าวสรุป