ข่าวสารบริษัท
บริษัทเหมราชฯ ประกาศ - กำไรสุทธิ ปี 2557 จำนวน 2,960.6 ล้านบาท (กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้เท่ากับ 2,963.6 ล้านบาท) สะท้อนให้เห็นถึงผลกำไรที่แข็งแกร่งแม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
27/02/2558
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปี 2557 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 4 ปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 423.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิลดลงเนื่องไม่มีรายได้จากการขายทรัพย์สินและสัญญาเช่าระยะยาวจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียลในไตรมาส 4 ปี 2556 จำนวน 1,458.6 ล้านบาท สุทธิจากประมาณการหนี้สินจากการค้าประกันรายได้ ภาษีเงินได้ และ ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.044 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 81 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 4 ปี 2557 จำนวน 503.9 ล้านบาท (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 80.63 ล้านบาท)
สำหรับปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,960.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.305 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 32 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 สำหรับปี 2557 บริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) จำนวน 1,583.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 79 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 บริษัทฯ มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนด้านพลังงาน (โครงการเก็คโค่-วัน และโครงการกัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล) จำนวน 3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 323.4 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ดังนั้นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สำหรับปี 2557 เท่ากับ 2,963.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “โดยภาพรวมผลประกอบการปี 2557ของบริษัท มีกำไรที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้ที่ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบปัญหาทางการเมือง รวมทั้ง ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงกลางปี 2557 ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของอัตราการขยายผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และกลุ่มตลาดยานยนต์ภายในประเทศ ส่วนผลการดำเนินงานทางด้านการส่งออกอยู่ที่ระดับปานกลาง
ผลประกอบการรายได้จากการดำเนินงานเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้ รวมถึงรายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมียอดขายที่ดินที่ดีและรายได้ที่รอการรับรู้จากปี 2556 ลดลงร้อยละ 27 สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้น รายได้รวมจากอสังหาริมทรัพย์สำหรับเช่าลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากโรงงานบางส่วนได้ถูกขายให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราช อินดัสเตรียล (HPF) เมื่อสิ้นปี 2556 และความต้องการด้านกำลังการผลิตที่ลดลง อย่างไรก็ตามรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงราคา สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ และปริมาณการใช้ที่เติบโตขึ้น ปริมาณความต้องการด้านบริการสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของปี 2556
ทั้งนี้บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2557 ได้จำนวน 665ไร่ (266 เอเคอร์ หรือ 106 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 42 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 31 ราย และการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 11 ราย โดยมีสัญญาร้อยละ 70 ในปี 2557 ที่ไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดกลุ่มยานยนต์ในประเทศโดยปริมาณการรับจ้างผลิต (OEM) ของกลุ่มยานยนต์ทั้งหมดลดลงร้อยละ 23 ตลอดในช่วงปี 2557 แต่การรับจ้างผลิต (OEM) ในส่วนของการส่งออกยานยนต์เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาพรวมของมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 นอกจากนี้ยังมีการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่หรือเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงแผนการลงทุนในเชิงบวกของอุตสาหกรรม ส่งผลให้เหมราชฯ เป็นบริษัทตัวเลือกชั้นนำในด้านการลงทุนข้ามประเทศ โดย 5 ค่ายรถยนต์ที่มีโรงงานอยู่ภายในนิคมฯเหมราชได้ทำการยื่นขออนุมัติโครงการ ECO Car 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติจากโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)ในปี 2557 มีมูลค่าเงินทุนรวม 729 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ซึ่งมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมมีทั้งสิ้นจำนวน 3,469 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินทุนรวม 2,192.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 ของจำนวนโครงการ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ของมูลค่าเงินลงทุน ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุด
สำหรับปี 2557 เหมราชมีพื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูป (HRBF) เพิ่มขึ้นสุทธิ 8,522 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่เช่าทั้งหมด 302,070 ตารางเมตร ที่อยู่ภายใต้การเช่าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในขณะที่มีพื้นที่การให้เช่าของคลังสินค้าหรือเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค (HLP) เพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้า เชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 95 ซึ่งมากกว่าที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้แล้ว เหมราชฯ ยังได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 126 เมกกะวัตต์ (SPP) อีก 7 โครงการภายในไตรมาส 1 ปี 2558 ในสัดส่วนร้อย ละ 25.01
สถานะทางการเงินของเหมราชฯ ยังคงแข็งแกร่ง ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 บริษัท ทริสเรทติ้ง ได้มีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทฯ จากระดับ "A-" เป็นระดับ "A" เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างกำไรของบริษัทฯ ที่มีการพัฒนารายได้ที่เพิ่มมากขึ้น
การลงทุนของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างสมดุลในธุรกิจหลัก ทั้ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ผลการดำเนินงานทางด้านการจัดการและทางด้านการเงินสำหรับปี 2557 ของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนากำไรที่เพิ่มมากขึ้น แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลในการลงทุนธุรกิจเหล่านี้ โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานปี 2557
สำหรับปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,333.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับ 8,769.6 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักมีจำนวน 6,426.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2557 มีจำนวน 3,445.9 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 40 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 53 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,312 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,712.5 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เนื่องจากมีปริมาณและอัตราการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากการลงทุนธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,844.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเป็นจำนวน 901.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 164.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27 จากการขายโรงงานบางส่วนเข้ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในปี 2556 และความต้องการกำลังการผลิตที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเพิ่มขึ้น 42.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 และรายได้จากการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้น 18.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เนื่องจากอัตราการเช่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากการขายโครงการที่พักอาศัยลดลงเป็น 234.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 44
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 3,126.7 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,779.6 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่แข็งแกร่ง ร้อยละ 49 และร้อยละ 44 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในปี 2557
- บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 665 ไร่ จาก 42 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 31 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 11 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 646 ราย จากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 975 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 224 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 342 สัญญา
- พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นสุทธิ 8,522 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 302,070 ตารางเมตร ภายใต้การเช่าของบริษัทเหมราช 192,252 ตารางเมตร และภายใต้การเช่าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 109,818 ตารางเมตรเมื่อสิ้นปี 2556 (เหมราชถือหุ้นร้อยละ 23.12)
- พื้นที่เช่าของคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 82,435 ตารางเมตร
- โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96
งบดุลรวมสำหรับงวด 12 เดือน สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2557
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 33,682 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 18,653 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 15,029 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.10 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,087 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 4 ปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 423.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิลดลงเนื่องไม่มีรายได้จากการขายทรัพย์สินและสัญญาเช่าระยะยาวจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียลในไตรมาส 4 ปี 2556 จำนวน 1,458.6 ล้านบาท สุทธิจากประมาณการหนี้สินจากการค้าประกันรายได้ ภาษีเงินได้ และ ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.044 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 81 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 4 ปี 2557 จำนวน 503.9 ล้านบาท (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 80.63 ล้านบาท)
สำหรับปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,960.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.305 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 32 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 สำหรับปี 2557 บริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) จำนวน 1,583.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 79 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 บริษัทฯ มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนด้านพลังงาน (โครงการเก็คโค่-วัน และโครงการกัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล) จำนวน 3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 323.4 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ดังนั้นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สำหรับปี 2557 เท่ากับ 2,963.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “โดยภาพรวมผลประกอบการปี 2557ของบริษัท มีกำไรที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้ที่ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบปัญหาทางการเมือง รวมทั้ง ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงกลางปี 2557 ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของอัตราการขยายผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และกลุ่มตลาดยานยนต์ภายในประเทศ ส่วนผลการดำเนินงานทางด้านการส่งออกอยู่ที่ระดับปานกลาง
ผลประกอบการรายได้จากการดำเนินงานเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้ รวมถึงรายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมียอดขายที่ดินที่ดีและรายได้ที่รอการรับรู้จากปี 2556 ลดลงร้อยละ 27 สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้น รายได้รวมจากอสังหาริมทรัพย์สำหรับเช่าลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากโรงงานบางส่วนได้ถูกขายให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราช อินดัสเตรียล (HPF) เมื่อสิ้นปี 2556 และความต้องการด้านกำลังการผลิตที่ลดลง อย่างไรก็ตามรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงราคา สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ และปริมาณการใช้ที่เติบโตขึ้น ปริมาณความต้องการด้านบริการสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของปี 2556
ทั้งนี้บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2557 ได้จำนวน 665ไร่ (266 เอเคอร์ หรือ 106 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 42 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 31 ราย และการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 11 ราย โดยมีสัญญาร้อยละ 70 ในปี 2557 ที่ไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดกลุ่มยานยนต์ในประเทศโดยปริมาณการรับจ้างผลิต (OEM) ของกลุ่มยานยนต์ทั้งหมดลดลงร้อยละ 23 ตลอดในช่วงปี 2557 แต่การรับจ้างผลิต (OEM) ในส่วนของการส่งออกยานยนต์เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาพรวมของมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 นอกจากนี้ยังมีการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่หรือเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงแผนการลงทุนในเชิงบวกของอุตสาหกรรม ส่งผลให้เหมราชฯ เป็นบริษัทตัวเลือกชั้นนำในด้านการลงทุนข้ามประเทศ โดย 5 ค่ายรถยนต์ที่มีโรงงานอยู่ภายในนิคมฯเหมราชได้ทำการยื่นขออนุมัติโครงการ ECO Car 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติจากโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)ในปี 2557 มีมูลค่าเงินทุนรวม 729 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ซึ่งมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมมีทั้งสิ้นจำนวน 3,469 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินทุนรวม 2,192.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 ของจำนวนโครงการ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ของมูลค่าเงินลงทุน ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุด
สำหรับปี 2557 เหมราชมีพื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูป (HRBF) เพิ่มขึ้นสุทธิ 8,522 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่เช่าทั้งหมด 302,070 ตารางเมตร ที่อยู่ภายใต้การเช่าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในขณะที่มีพื้นที่การให้เช่าของคลังสินค้าหรือเหมราชโลจิสติกส์พาร์ค (HLP) เพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้า เชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 95 ซึ่งมากกว่าที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้แล้ว เหมราชฯ ยังได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 126 เมกกะวัตต์ (SPP) อีก 7 โครงการภายในไตรมาส 1 ปี 2558 ในสัดส่วนร้อย ละ 25.01
สถานะทางการเงินของเหมราชฯ ยังคงแข็งแกร่ง ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 บริษัท ทริสเรทติ้ง ได้มีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทฯ จากระดับ "A-" เป็นระดับ "A" เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างกำไรของบริษัทฯ ที่มีการพัฒนารายได้ที่เพิ่มมากขึ้น
การลงทุนของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างสมดุลในธุรกิจหลัก ทั้ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ผลการดำเนินงานทางด้านการจัดการและทางด้านการเงินสำหรับปี 2557 ของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนากำไรที่เพิ่มมากขึ้น แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลในการลงทุนธุรกิจเหล่านี้ โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานปี 2557
สำหรับปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,333.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับ 8,769.6 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักมีจำนวน 6,426.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2557 มีจำนวน 3,445.9 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 40 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 53 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,312 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,712.5 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เนื่องจากมีปริมาณและอัตราการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากการลงทุนธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,844.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเป็นจำนวน 901.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 164.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27 จากการขายโรงงานบางส่วนเข้ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในปี 2556 และความต้องการกำลังการผลิตที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเพิ่มขึ้น 42.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 และรายได้จากการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้น 18.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เนื่องจากอัตราการเช่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากการขายโครงการที่พักอาศัยลดลงเป็น 234.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 44
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 3,126.7 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,779.6 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่แข็งแกร่ง ร้อยละ 49 และร้อยละ 44 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในปี 2557
- บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 665 ไร่ จาก 42 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 31 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 11 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 646 ราย จากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 975 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 224 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 342 สัญญา
- พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นสุทธิ 8,522 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 302,070 ตารางเมตร ภายใต้การเช่าของบริษัทเหมราช 192,252 ตารางเมตร และภายใต้การเช่าของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 109,818 ตารางเมตรเมื่อสิ้นปี 2556 (เหมราชถือหุ้นร้อยละ 23.12)
- พื้นที่เช่าของคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 82,435 ตารางเมตร
- โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96
งบดุลรวมสำหรับงวด 12 เดือน สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2557
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 33,682 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 18,653 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 15,029 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.10 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,087 ล้านบาท