ข่าวสารบริษัท
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนแรกของ ปี 2557
13/11/2557
บริษัทเหมราชฯ ประกาศ - รายได้จากการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2557 จำนวน 5,149.6 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 19
- กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2557 จำนวน 2,537.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22
- (กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้เท่ากับ 2,459.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12)
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนแรกของ ปี 2557 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 3 ปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 477.9 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.049 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 24 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 3 ปี 2557 จำนวน 462.9 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 14.9 ล้านบาท) หรือลดลงร้อยละ 32
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,537.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.261บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกปี 2557 บริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) จำนวน 1,300.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 182 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนด้านพลังงาน (โครงการเก็คโค่-วัน และโครงการกัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล) จำนวน 77.6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 109.5 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ดังนั้นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 2,459.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “โดยภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือนแรก ปี 2557ของบริษัทฯ มีผลการดำเนินการทางด้านการจัดการและผลดำเนินการทางด้านการเงินที่ดี โดยมีรายได้ที่ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงกลางปี 2557 ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องในตลาดกลุ่มยานยนต์ภายในประเทศ และอัตราการขยายผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ต่ำลง
ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินงานจำนวน 5,171.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 สำหรับ 9 เดือนแรก ปี 2557 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 522 ไร่ (208 เอเคอร์ หรือ 84 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 31 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 21 ราย และการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 10 ราย สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดดังที่กล่าวมา โดยมีสัญญาร้อยละ 75 ในปี 2557 ที่ไม่ใช่กลุ่มยานยนต์
ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดกลุ่มยานยนต์ในประเทศโดยปริมาณการรับจ้างผลิต (OEM) ของกลุ่มยานยนต์ทั้งหมดลดลงร้อยละ 27 ตลอดในช่วงเดือนกันยายน ปี 2557 แต่การรับจ้างผลิต (OEM) ในส่วนของการส่งออกยานยนต์เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาพรวมของมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 นอกจากนี้ยังมีการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่หรือเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงแผนการลงทุนในเชิงบวกของอุตสาหกรรม ส่งผลให้เหมราชฯ เป็นบริษัทตัวเลือกชั้นนำในด้านการลงทุนข้ามประเทศ โดย 5 ค่ายรถยนต์ที่มีโรงงานอยู่ภายในนิคมฯเหมราชได้ทำการยื่นขออนุมัติโครงการ ECO Car 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติจากโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวน 420 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 อย่างไรก็ตามยังมีโครงการที่รออนุมัติการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อีกจำนวน 284 พันล้านบาท
ผลประกอบการรายได้รวมของบริษัทฯ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 27 เนื่องจากปี 2556 มียอดขายที่ดินดีและรายได้ที่รอการรับรู้ รายได้รวมจากอสังหาริมทรัพย์สำหรับเช่าลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากโรงงานบางส่วนได้ถูกขายให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราช อินดัสเตรียล (HPF) เมื่อสิ้นปี 2556 และความต้องการด้านกำลังการผลิตที่ลดลง ส่วนรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงราคาและปริมาณการใช้ที่เติบโตขึ้น
กำไรสุทธิที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นจำนวน 2,537 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 182 กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) จำนวน 2,459.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96 ซึ่งมากกว่าที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้ในช่วงปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้ว เหมราชฯ ยังมีแผนลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 126 เมกกะวัตต์ (SPP) อีก 7 โครงการ ในสัดส่วนร้อยละ 25.01 โดยคาดว่าโครงการจะมีข้อตกลงทางการเงินเป็นที่เรียบร้อยภายในสิ้นปี 2557 นี้
เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บริษัทฯ มีการปรับยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม ปี 2557 เป็น 800 ไร่ (320 เอเคอร์ หรือ 128 เฮกเตอร์) จาก 1,200 ไร่ (480 เอเคอร์ หรือ 192 เฮกเตอร์) ลูกค้าใหม่ 30 ราย และสัญญาที่ดินและโรงงานใหม่อีก 45 ฉบับ รวมทั้งลดเป้าหมายพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าเป็น 25,000 และ 11,000 ตารางเมตรสุทธิจากพื้นที่ที่ปล่อยเช่าทั้งหมดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆในปี 2558 ซึ่งมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่หลากหลาย
การลงทุนของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างสมดุลในธุรกิจหลัก ทั้ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผลการดำเนินงานสำหรับช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรก ปี 2557 ของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนารายได้และกำไรที่เพิ่มมากขึ้นที่มาจากการลงทุนพลังงานเป็นหลัก โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2557
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรก ปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,149.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับ 6,320.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักมีจำนวน 5,171.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมใน 9 เดือนแรก ปี 2557 มีจำนวน 2,917.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 28 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 51 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,446 ล้านบาทในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,288.0 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 10 เนื่องจากมีปริมาณและอัตราการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,358.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเป็นจำนวน 661.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 123.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27 จากการขายโรงงานบางส่วนเข้ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในปี 2556 และความต้องการกำลังการผลิตที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเพิ่มขึ้น 36.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้น 15.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เนื่องจากอัตราการเช่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากการขายโครงการที่พักอาศัยลดลงเป็น 234.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 38
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 2,497.8 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,217.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่แข็งแกร่ง ร้อยละ 49 และร้อยละ 43 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญใน 9 เดือนแรก ปี 2557
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 522 ไร่ จาก 31 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 21 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 10 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 636 ราย จากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 964 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 219 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 337 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นสุทธิ 9,673 ตารางเมตร หรืออัตราการเช่าโรงงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 68 มีพื้นที่เช่าทั้งหมด 303,221 ตารางเมตร ภายใต้การเช่าของบริษัทเหมราช 187,492 ตารางเมตร และภายใต้การเช่า ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 115,729 ตารางเมตรเมื่อสิ้นปี 2556
• พื้นที่เช่าของคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 82,435 ตารางเมตร
• โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96
เหตุการณ์ภายหลังไตรมาส 3 ปี 2557
• คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 จำนวน 0.07 บาทต่อหุ้น มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 31 ตุลาคม 2557
งบดุลรวมสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2557
ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 33,929 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 18,535 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 15,394 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.06 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,191 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราชฯ (SET symbol HEMRAJ)สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com
หรือwww.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com หรือ 02-719-9555-9
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ – นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย
- กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2557 จำนวน 2,537.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22
- (กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้เท่ากับ 2,459.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12)
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนแรกของ ปี 2557 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 3 ปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 477.9 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.049 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 24 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 3 ปี 2557 จำนวน 462.9 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 14.9 ล้านบาท) หรือลดลงร้อยละ 32
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกปี 2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,537.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.261บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกปี 2557 บริษัทฯ ได้บันทึกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) จำนวน 1,300.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 182 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนด้านพลังงาน (โครงการเก็คโค่-วัน และโครงการกัลฟ์ เจพี เอ็นแอลแอล) จำนวน 77.6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงจำนวน 109.5 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 ดังนั้นกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 2,459.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “โดยภาพรวมผลประกอบการ 9 เดือนแรก ปี 2557ของบริษัทฯ มีผลการดำเนินการทางด้านการจัดการและผลดำเนินการทางด้านการเงินที่ดี โดยมีรายได้ที่ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วงกลางปี 2557 ความอ่อนแออย่างต่อเนื่องในตลาดกลุ่มยานยนต์ภายในประเทศ และอัตราการขยายผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ต่ำลง
ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินงานจำนวน 5,171.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 สำหรับ 9 เดือนแรก ปี 2557 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 522 ไร่ (208 เอเคอร์ หรือ 84 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 31 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 21 ราย และการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 10 ราย สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดดังที่กล่าวมา โดยมีสัญญาร้อยละ 75 ในปี 2557 ที่ไม่ใช่กลุ่มยานยนต์
ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดกลุ่มยานยนต์ในประเทศโดยปริมาณการรับจ้างผลิต (OEM) ของกลุ่มยานยนต์ทั้งหมดลดลงร้อยละ 27 ตลอดในช่วงเดือนกันยายน ปี 2557 แต่การรับจ้างผลิต (OEM) ในส่วนของการส่งออกยานยนต์เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามภาพรวมของมูลค่าชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 นอกจากนี้ยังมีการลงทุนของอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่หรือเทคโนโลยีด้านยานยนต์ในระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงแผนการลงทุนในเชิงบวกของอุตสาหกรรม ส่งผลให้เหมราชฯ เป็นบริษัทตัวเลือกชั้นนำในด้านการลงทุนข้ามประเทศ โดย 5 ค่ายรถยนต์ที่มีโรงงานอยู่ภายในนิคมฯเหมราชได้ทำการยื่นขออนุมัติโครงการ ECO Car 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติจากโครงการสนับสนุนการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวน 420 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 อย่างไรก็ตามยังมีโครงการที่รออนุมัติการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อีกจำนวน 284 พันล้านบาท
ผลประกอบการรายได้รวมของบริษัทฯ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ รายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 27 เนื่องจากปี 2556 มียอดขายที่ดินดีและรายได้ที่รอการรับรู้ รายได้รวมจากอสังหาริมทรัพย์สำหรับเช่าลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากโรงงานบางส่วนได้ถูกขายให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราช อินดัสเตรียล (HPF) เมื่อสิ้นปี 2556 และความต้องการด้านกำลังการผลิตที่ลดลง ส่วนรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงราคาและปริมาณการใช้ที่เติบโตขึ้น
กำไรสุทธิที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นจำนวน 2,537 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 182 กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) จำนวน 2,459.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96 ซึ่งมากกว่าที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้ในช่วงปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้ว เหมราชฯ ยังมีแผนลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 126 เมกกะวัตต์ (SPP) อีก 7 โครงการ ในสัดส่วนร้อยละ 25.01 โดยคาดว่าโครงการจะมีข้อตกลงทางการเงินเป็นที่เรียบร้อยภายในสิ้นปี 2557 นี้
เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บริษัทฯ มีการปรับยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม ปี 2557 เป็น 800 ไร่ (320 เอเคอร์ หรือ 128 เฮกเตอร์) จาก 1,200 ไร่ (480 เอเคอร์ หรือ 192 เฮกเตอร์) ลูกค้าใหม่ 30 ราย และสัญญาที่ดินและโรงงานใหม่อีก 45 ฉบับ รวมทั้งลดเป้าหมายพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าเป็น 25,000 และ 11,000 ตารางเมตรสุทธิจากพื้นที่ที่ปล่อยเช่าทั้งหมดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆในปี 2558 ซึ่งมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่หลากหลาย
การลงทุนของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างสมดุลในธุรกิจหลัก ทั้ง ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผลการดำเนินงานสำหรับช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรก ปี 2557 ของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนารายได้และกำไรที่เพิ่มมากขึ้นที่มาจากการลงทุนพลังงานเป็นหลัก โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
รายได้รวมและผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2557
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรก ปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,149.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับ 6,320.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักมีจำนวน 5,171.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมใน 9 เดือนแรก ปี 2557 มีจำนวน 2,917.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 28 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 51 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้รายได้อีกจำนวน 1,446 ล้านบาทในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,288.0 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 10 เนื่องจากมีปริมาณและอัตราการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,358.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเป็นจำนวน 661.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากรายได้ที่ลดลงจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 123.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27 จากการขายโรงงานบางส่วนเข้ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) ในปี 2556 และความต้องการกำลังการผลิตที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเพิ่มขึ้น 36.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้น 15.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เนื่องจากอัตราการเช่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากการขายโครงการที่พักอาศัยลดลงเป็น 234.2 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 38
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 2,497.8 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,217.5 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่แข็งแกร่ง ร้อยละ 49 และร้อยละ 43 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญใน 9 เดือนแรก ปี 2557
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 522 ไร่ จาก 31 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 21 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 10 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 636 ราย จากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 964 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 219 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 337 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นสุทธิ 9,673 ตารางเมตร หรืออัตราการเช่าโรงงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 68 มีพื้นที่เช่าทั้งหมด 303,221 ตารางเมตร ภายใต้การเช่าของบริษัทเหมราช 187,492 ตารางเมตร และภายใต้การเช่า ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 115,729 ตารางเมตรเมื่อสิ้นปี 2556
• พื้นที่เช่าของคลังสินค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 10,290 ตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปี 2556 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 82,435 ตารางเมตร
• โครงการโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระกำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างมีประสิทธิภาพถึงร้อยละ 96
เหตุการณ์ภายหลังไตรมาส 3 ปี 2557
• คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 จำนวน 0.07 บาทต่อหุ้น มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 31 ตุลาคม 2557
งบดุลรวมสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2557
ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 33,929 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 18,535 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 15,394 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.06 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,191 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราชฯ (SET symbol HEMRAJ)สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com
หรือwww.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com หรือ 02-719-9555-9
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ – นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย