ข่าวสารบริษัท
บริษัทเหมราชฯ ประกาศกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกประจำปี 2558 จำนวน 2,074.4 ล้านบาท ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว (กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้เท่ากับ 2,470.2 ล้านบาท)
12/11/2558
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2558 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 3 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 462.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.046 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 6 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 3 ปี 2558 จำนวน 775.2 ล้านบาท (ไม่รวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 313.18 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 66
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,074.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.209 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 20
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2557 โดยสาเหตุหลักยังมาจากการโอนที่ดินลดลงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาลงทั้งด้านการส่งออก และตลาดในประเทศ การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 395.8 ล้านบาทจากการลงทุนด้านพลังงาน (ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสด) อย่างไรก็ดี รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 57.8 เมื่อเทียบกับร้อยละ 53.7 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.9 เมื่อเทียบกับร้อยละ 52.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557)
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้
“บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 52 โดยรายได้ในส่วนนี้จะสามารถรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 ขณะที่รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเดียวกันของปีที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 511 ไร่ (205 เอเคอร์ หรือ 82 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 18 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 14 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิม 4 ราย โดยร้อยละ 72 เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ลดลงร้อยละ 14 ขณะที่ปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จึงส่งผลให้มูลค่าการส่งออกยานยนต์ในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.10 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด และบริษัทเหมราชฯ ก็ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักลงทุนข้ามชาติรายใหญ่
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ยอดการเช่าพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 298,818 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มียอดการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,343 ตารางเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 2 จากยอดรวมของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระ (IPP) เก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกะวัตต์ ซึ่งเหมราชถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นอีกร้อยละ 65 (Engie group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ร้อยละ 95 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 1,245.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัท บี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมีกำลังการผลิตที่ 126 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป การลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562
ส่วนการผนึกกันระหว่างดับบลิวเอชเอ และเหมราช จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,587.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีรายได้รวม 5,149.6 ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 3,616.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 รายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 มีจำนวน 1,406.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 52 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 56 ซึ่งนับรวมถึงรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33.5 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้วแต่รอการรับรู้อีกจำนวน 2,152 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้า ด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,350.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ทั้งนี้รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 1,495.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 10
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการต่างๆ ได้แก่ โรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 691.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าฐานวางท่อที่เพิ่มขึ้นเป็น 114.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากอัตราการเช่าและใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากโรงงานให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 374.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ขณะที่รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 113.9 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 13
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 2,046.6 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,028.7 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 57 และร้อยละ 57 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมจำนวน 511 ไร่ จาก 18 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 14 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 4 ราย ทำให้ปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 660 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 993 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 228 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 347 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 3,252 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 298,818 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 188,596 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2557 110,222 ตารางเมตร (เหมราชฯ ถือหุ้นร้อยละ 23.12)
• พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,343 ตารางเมตร หรือร้อยละ 2 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 83,778 ตารางเมตร
• โครงการเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระ (IPP) พลังงานถ่านหิน กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ ซึ่งเหมราชฯถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ ถือหุ้นร้อยละ 65 (จีดีเอฟ ซุเอซ กรุ๊ป) ดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ร้อยละ 95
เหตุการณ์หลังไตรมาส 3 ของปี 2558
• เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราชฯ คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย
• ทริส เรตติ้ง ได้ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทฯ จาก “A” ลงมาเป็น “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558
• ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2558 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
งบดุลรวมสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558
ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 32,044 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 19,278 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 12,766 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.44 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 905 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
ในไตรมาส 3 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 462.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.046 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 6 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 3 ปี 2558 จำนวน 775.2 ล้านบาท (ไม่รวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 313.18 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 66
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,074.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.209 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 20
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2557 โดยสาเหตุหลักยังมาจากการโอนที่ดินลดลงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาลงทั้งด้านการส่งออก และตลาดในประเทศ การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 395.8 ล้านบาทจากการลงทุนด้านพลังงาน (ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสด) อย่างไรก็ดี รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 57.8 เมื่อเทียบกับร้อยละ 53.7 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.9 เมื่อเทียบกับร้อยละ 52.2 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557)
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้
“บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 52 โดยรายได้ในส่วนนี้จะสามารถรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 ขณะที่รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเดียวกันของปีที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 511 ไร่ (205 เอเคอร์ หรือ 82 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 18 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 14 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิม 4 ราย โดยร้อยละ 72 เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ลดลงร้อยละ 14 ขณะที่ปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จึงส่งผลให้มูลค่าการส่งออกยานยนต์ในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.10 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด และบริษัทเหมราชฯ ก็ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักลงทุนข้ามชาติรายใหญ่
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ยอดการเช่าพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงกับที่ผ่านมาที่ 298,818 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มียอดการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,343 ตารางเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 2 จากยอดรวมของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระ (IPP) เก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกะวัตต์ ซึ่งเหมราชถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นอีกร้อยละ 65 (Engie group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ร้อยละ 95 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 1,245.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัท บี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ ซึ่งแต่ละโครงการมีกำลังการผลิตที่ 126 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป การลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกะวัตต์ ภายในปี 2562
ส่วนการผนึกกันระหว่างดับบลิวเอชเอ และเหมราช จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,587.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีรายได้รวม 5,149.6 ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 3,616.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 31 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 รายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 มีจำนวน 1,406.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 52 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 56 ซึ่งนับรวมถึงรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33.5 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้วแต่รอการรับรู้อีกจำนวน 2,152 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้า ด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน
รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,350.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ทั้งนี้รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 1,495.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 10
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการต่างๆ ได้แก่ โรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 691.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าฐานวางท่อที่เพิ่มขึ้นเป็น 114.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากอัตราการเช่าและใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากโรงงานให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 374.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ขณะที่รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 113.9 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 13
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 2,046.6 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 2,028.7 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 57 และร้อยละ 57 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมจำนวน 511 ไร่ จาก 18 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 14 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 4 ราย ทำให้ปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 660 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 993 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 228 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 347 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 3,252 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 298,818 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 188,596 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2557 110,222 ตารางเมตร (เหมราชฯ ถือหุ้นร้อยละ 23.12)
• พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,343 ตารางเมตร หรือร้อยละ 2 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 83,778 ตารางเมตร
• โครงการเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าอิสระ (IPP) พลังงานถ่านหิน กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ ซึ่งเหมราชฯถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ ถือหุ้นร้อยละ 65 (จีดีเอฟ ซุเอซ กรุ๊ป) ดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ร้อยละ 95
เหตุการณ์หลังไตรมาส 3 ของปี 2558
• เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราชฯ คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย
• ทริส เรตติ้ง ได้ประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทฯ จาก “A” ลงมาเป็น “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558
• ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2558 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
งบดุลรวมสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558
ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 32,044 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 19,278 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 12,766 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 1.44 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 905 ล้านบาท