ข่าวสารบริษัท
บริษัทเหมราชฯ ประกาศกำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2558 จำนวน 1,612.4 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงผลกำไรที่แข็งแกร่งแม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย (กำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ที่ 1,695.0 ล้านบาท)
14/08/2558
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2558 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิ
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 931.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.094 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 11 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 2 ปี 2558 จำนวน 1,069.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 (ไม่รวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 138.78 ล้านบาท) สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,612.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.163 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 31
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของ ปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดการโอนที่ดินที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการขายที่ดินลดลงอันเป็นผลจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก รวมถึงการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 82.6 ล้านบาทจากการลงทุนด้านพลังงาน (ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสด) อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 59.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 53.3 ในครึ่งปีแรก ปี 2557 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 51.8 ในครึ่งปีแรก ปี 2557)
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้ “บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ที่ค่อนข้างน่าพอใจท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 55 โดยเป็นการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตามในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2557 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 356 ไร่ (142 เอเคอร์ หรือ 57 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 13 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 ราย และจากขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมอีก 3 ราย เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์ร้อยละ 62
ด้วยเหตุที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 16 และปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมลดลงร้อยละ 2 ในขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ส่งผลให้ ในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 มูลค่าการส่งออกยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.82 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากมองในระยะยาวจะพบว่ายังคงมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และการลงทุนด้านเทคโนโลยียานยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจมีความล่าช้าบ้างก็ตาม ทั้งนี้ นิคมฯ เหมราช ยังคงเป็นเป้าหมายของการลงทุนข้ามชาติขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นอกจากนี้โรงงานประกอบรถยนต์ 4 รายที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ เหมราช ก็ได้รับการอนุมัติโครงการ Eco Car 2 เรียบร้อยแล้ว
สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 พื้นที่ให้เช่าของโรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงเดิมคือ 300,634 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,343 ตร.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 2 จากยอดรวมของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระเก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ (IPP) เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้เพียงร้อยละ 73 ในครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตตามแผนงานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในไตรมาสที่ 1 2558 และปิดซ่อมบำรุงนอกเหนือจากแผนงานเป็นเวลา 6 วันในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดยบริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 771.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัทบี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2562
และตามรายงานเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 หลังจากจบไตรมาส บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราชฯ คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย การผนึกกำลังความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ และเหมราช จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2558 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2558
สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,706.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับ ในช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีรายได้รวม 4,285.9 ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 2,717.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 37 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 มีจำนวน 1,232.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 55 โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 56 ซึ่งรวมรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่รอการรับรู้อีกจำนวน 1,763 ล้านบาท ในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 878.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,014.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 471.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 255.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ส่วนรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 77.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และรายได้จากการให้เช่าฐานวางท่อเพิ่มขึ้นเป็น 75.7 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 18 สะท้อนให้เห็นว่ามีอัตราการเช่าและราคาค่าเช่าสูงขึ้น
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,500.1 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 1,508.2 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 55 และร้อยละ 56 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2558
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 356 ไร่ จาก 13 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 3 ราย ทำให้ปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 656 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 988 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 228 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 347 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 1,436 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 300,634 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 190,412 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 110,222 ตารางเมตร (เหมราชฯ ถือหุ้นร้อยละ 23.12)
• พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,343 ตารางเมตร หรือร้อยละ 2 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 83,778 ตารางเมตร
• โครงการเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเหมราชฯถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ ถือหุ้นร้อยละ 65 (จีดีเอฟ ซุเอซ กรุ๊ป) ดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 73 ในครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตตามแผนงานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในไตรมาสที่ 1 2558 และปิดซ่อมบำรุงนอกเหนือจากแผนงานเป็นเวลา 6 วันในไตรมาสที่ 2 ปี 2558
เหตุการณ์หลังไตรมาส 2 ของปี 2558
• คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมและกำไรสุทธิ งวดดำเนินงานตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2558 จำนวน 0.443 บาทต่อหุ้น มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558
• คณะกรรมการบริษัทได้มีการพิจารณาให้ขอถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากที่ได้รับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทจากบริษัทดับบลิวเอชเอ ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 92.88 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทและได้เสนอต่อประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาดังกล่าวในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2558
งบดุลรวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 35,863 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 19,260 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 16,603 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 0.99 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,748 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 931.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.094 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 11 และมีกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ในไตรมาส 2 ปี 2558 จำนวน 1,069.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 (ไม่รวมการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 138.78 ล้านบาท) สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,612.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.163 บาทต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 31
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของ ปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดการโอนที่ดินที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการขายที่ดินลดลงอันเป็นผลจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก รวมถึงการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 82.6 ล้านบาทจากการลงทุนด้านพลังงาน (ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสด) อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 59.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 53.3 ในครึ่งปีแรก ปี 2557 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 62.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 51.8 ในครึ่งปีแรก ปี 2557)
มร. เดวิด นาร์โดน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนี้ “บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ที่ค่อนข้างน่าพอใจท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 55 โดยเป็นการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตามในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2557 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 356 ไร่ (142 เอเคอร์ หรือ 57 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 13 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 ราย และจากขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมอีก 3 ราย เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์ร้อยละ 62
ด้วยเหตุที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 16 และปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมลดลงร้อยละ 2 ในขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ส่งผลให้ ในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 มูลค่าการส่งออกยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.82 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากมองในระยะยาวจะพบว่ายังคงมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และการลงทุนด้านเทคโนโลยียานยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจมีความล่าช้าบ้างก็ตาม ทั้งนี้ นิคมฯ เหมราช ยังคงเป็นเป้าหมายของการลงทุนข้ามชาติขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นอกจากนี้โรงงานประกอบรถยนต์ 4 รายที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ เหมราช ก็ได้รับการอนุมัติโครงการ Eco Car 2 เรียบร้อยแล้ว
สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2558 พื้นที่ให้เช่าของโรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงเดิมคือ 300,634 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,343 ตร.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 2 จากยอดรวมของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระเก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ (IPP) เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้เพียงร้อยละ 73 ในครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตตามแผนงานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในไตรมาสที่ 1 2558 และปิดซ่อมบำรุงนอกเหนือจากแผนงานเป็นเวลา 6 วันในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดยบริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 771.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัทบี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2562
และตามรายงานเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 หลังจากจบไตรมาส บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราชฯ คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย การผนึกกำลังความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ และเหมราช จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2558 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2558
สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,706.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับ ในช่วงเดียวกันของปี 2557 ที่มีรายได้รวม 4,285.9 ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 2,717.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 37 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 มีจำนวน 1,232.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 55 โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 56 ซึ่งรวมรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่รอการรับรู้อีกจำนวน 1,763 ล้านบาท ในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอน รายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 878.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 1,014.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 471.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 255.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ส่วนรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 77.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และรายได้จากการให้เช่าฐานวางท่อเพิ่มขึ้นเป็น 75.7 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 18 สะท้อนให้เห็นว่ามีอัตราการเช่าและราคาค่าเช่าสูงขึ้น
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,500.1 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 1,508.2 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 55 และร้อยละ 56 ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2558
• บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 356 ไร่ จาก 13 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 ราย และจากการขยายกิจการของลูกค้าเดิมจำนวน 3 ราย ทำให้ปัจจุบันเหมราชฯ มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 656 รายจากสัญญาซื้อขายทั้งสิ้น 988 สัญญา ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 228 ราย จากสัญญาซื้อขายจำนวน 347 สัญญา
• พื้นที่เช่าและขายของโรงงานสำเร็จรูปลดลงสุทธิ 1,436 ตารางเมตร รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 300,634 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่การเช่าภายใต้บริษัทเหมราชจำนวน 190,412 ตารางเมตร และภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) 110,222 ตารางเมตร (เหมราชฯ ถือหุ้นร้อยละ 23.12)
• พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,343 ตารางเมตร หรือร้อยละ 2 จากปี 2557 รวมพื้นที่เช่าทั้งหมด 83,778 ตารางเมตร
• โครงการเก็คโค่-วัน โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ (IPP) ซึ่งเหมราชฯถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ ถือหุ้นร้อยละ 65 (จีดีเอฟ ซุเอซ กรุ๊ป) ดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 73 ในครึ่งปีแรก ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตตามแผนงานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในไตรมาสที่ 1 2558 และปิดซ่อมบำรุงนอกเหนือจากแผนงานเป็นเวลา 6 วันในไตรมาสที่ 2 ปี 2558
เหตุการณ์หลังไตรมาส 2 ของปี 2558
• คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมและกำไรสุทธิ งวดดำเนินงานตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2558 จำนวน 0.443 บาทต่อหุ้น มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558
• คณะกรรมการบริษัทได้มีการพิจารณาให้ขอถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากที่ได้รับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทจากบริษัทดับบลิวเอชเอ ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 92.88 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทและได้เสนอต่อประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาดังกล่าวในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2558
งบดุลรวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 35,863 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 19,260 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 16,603 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 0.99 เท่า โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวน 2,748 ล้านบาท