ข่าวสารบริษัท

“WHA Group” ทำ New High ครึ่งปีแรกฟอร์มเด่น โชว์กำไรสุทธิ 2,653 ล้านบาท เติบโต 91% Y-Y จ่อปรับเป้ายอดขายที่ดินรับอานิสงส์ย้ายฐานการลงทุนพุ่ง

09/08/2567

กรุงเทพ - บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (“WHA Group”) แจ้งงบผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ของปี 2567 ฟอร์มเด่น มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 7,273 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,653 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 7,080 ล้านบาท และกำไรปกติ 2,549 ล้านบาท จากการเติบโตของ 4 กลุ่มธุรกิจ “โลจิสติกส์-นิคมอุตสาหกรรม-สาธารณูปโภคและพลังงาน- ดิจิทัล” ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” ส่งสัญญาณบวกเล็งปรับเป้ายอดขายที่ดินใหม่ สยายปีกรองรับนักลงทุนที่จ่อย้าย ฐานการลงทุนและการผลิตเข้าไทยต่อเนื่อง

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2567 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,343 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,289 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และกำไรปกติ 1,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 7,273 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,653 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 7,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และกำไรปกติ 2,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าว สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของ 4 กลุ่มธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA Group เปิดเผยว่า สำหรับการเติบโตของผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกปี 2567 ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้เป็นอย่างดี

ธุรกิจโลจิสติกส์ ในครึ่งแรกของปี 2567 มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมรวม 33,699 ตร.ม. และมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง จำนวน 88,344 ตร.ม. ส่งผลให้มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 2,988,762 ตร.ม. โดยไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้ารวม 343 ล้านบาท และ 640 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนความคืบหน้าของโครงการ Green Logistics ที่บริษัทฯ ได้มีการจัดตั้งบริษัท โมบิลิกส์ จำกัด แบรนด์ที่ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ที่ครอบคลุมตั้งแต่การให้บริการรถขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ บริการติดตั้งระบบชาร์จ สถานีชาร์จ พร้อมด้วย Mobilix Platform แพลตฟอร์มที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ให้แก่ลูกค้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 มีลูกค้าภาคธุรกิจเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 280 คัน

ด้วยความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้า/โรงงานคุณภาพสูงที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหลายราย โดยในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือก (award) จากกลุ่มลูกค้าผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ชั้นนำ และบริษัทผู้ผลิต/จัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ที่มีความต้องการเช่าคลังสินค้าพื้นที่รวมกว่า 63,000 ตร.ม. ซึ่งคาดว่าจะลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่กับลูกค้าได้เร็วๆ นี้

ด้านโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม. 23 โปรเจกต์ที่ 3 หลังจากที่ได้เปิดตัวไป ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า อาทิ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งผู้ให้บริการด้านการออกแบบและผลิตสื่อโฆษณา ที่ได้แสดงความสนใจจองและ/หรือลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่เพิ่มรวมกว่า 26,100 ตร.ม. นอกจากนี้โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม. 23 (ขาเข้า) ก็มีบริษัทผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ แสดงความสนใจเช่าพื้นที่คลังสินค้าประมาณ 24,000 ตร.ม. ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมเซ็นสัญญาเช่า

“โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 อาคาร B ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED Gold เวอร์ชั่น 4.1 BD+C สำหรับคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งถือเป็นมาตรฐานอาคารเขียวเวอร์ชั่นล่าสุดที่กำหนดโดยสภาอาคารเขียวแห่งสหรัฐอเมริกา และเป็นมาตรฐานต่อไป ในอนาคตสำหรับการดำเนินการก่อสร้างและออกแบบอาคารเขียวที่ยั่งยืน”

ส่วนแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินในปี 2567 ล่าสุดผู้ถือหน่วยกองทรัสต์ WHAIR อนุมัติการลงทุนในทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 5 มูลค่าไม่เกิน 1,065 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมประมาณ 40,172 ตร.ม. คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2567 นี้

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ครึ่งปีแรก 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 1,042 ไร่ (ไทย 979 ไร่ / เวียดนาม 63 ไร่) และมียอดเซ็น MOU รวม 756 ไร่ (ไทย 714 ไร่ / เวียดนาม 43 ไร่) โดยไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 1,460 ล้านบาท และ 3,587 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ยอดการโอนที่ดินครึ่งปีแรกที่เติบโตมากกว่า 65% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการย้ายฐานการลงทุน และการผลิตมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 879 ไร่ (ไทย 871 ไร่ / เวียดนาม 8 ไร่)

“โดยยอดขายที่ดินในไตรมาส 2/2567 นี้ ส่วนหนึ่งมาจากการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลกที่มีแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ บนพื้นที่ดินกว่า 100 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในไทย ตอกย้ำการเป็นจุดหมายด้านการผลิตและการลงทุนของภูมิภาคที่สำคัญของอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างยานยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี”

ปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามทั้งหมด 77,600 ไร่ โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง และยังมีโครงการขยาย/ พัฒนานิคมฯ ใหม่ 7 โครงการ บนพื้นที่รวมกว่า 9,430 ไร่ ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีพื้นที่นิคมฯ รวมกว่า 52,650 ไร่ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 5 (3,400 ไร่) ซึ่งอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในไตรมาส 1/2568 และมีพื้นที่พร้อมขายภายในไตรมาส 2/2568

สำหรับประเทศเวียดนาม มีการเปิดดำเนินการเขตอุตสาหกรรมแล้ว ซึ่งมีพื้นที่ในการพัฒนารวม 22,815 ไร่ (3,650 เฮกตาร์) ประกอบด้วยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 2 – เหงะอาน เฟส 1A/1B และเฟส 2 พื้นที่รวม 1,600 ไร่ (250 เฮกตาร์) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตสำหรับโครงการสำหรับเฟส 1A/1B พื้นที่ 1,200 ไร่ (189 เฮกตาร์) ภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 3 โครงการในจังหวัด Thanh Hoa และ Quang Nam เป็นพื้นที่รวมกว่า 9,690 ไร่ (1,550 เฮกตาร์)

บริษัทฯ คาดว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก โดยเฉพาะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ที่ได้รับอานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้เกิดกระแสการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตมายังไทยมากขึ้น ประกอบกับราคาขายที่ดินเฉลี่ยที่ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นปี 2567 นี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินได้มากกว่าเป้าหมายการขายที่ดินที่ได้ประกาศไว้เมื่อต้นปี 2567 ที่จำนวน 2,275 ไร่ และอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการปรับเป้าหมายการขายที่ดินของปีนี้ใหม่ ซึ่งจะประกาศออกมาในเร็วๆนี้

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มีการปรับตัวดีต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 761 ล้านบาท และ 1,531 ล้านบาท โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมสำหรับ ไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 รวมเท่ากับ 43.1 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 83.9 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ

ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 34.0 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 66.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากการเติบโตขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายน้ำทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม จากความต้องการใช้น้ำของลูกค้าใหม่ๆ ที่ทยอยเปิดดำเนินการณ์เชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 3/2566 และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาขายน้ำประปาเอกชนกับการประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณ 2.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยให้บริการในพื้นที่การประปาส่วนภูมิภาคสาขาหนองแค จังหวัดสระบุรี และคาดว่าจะเนินการเชิงพาณิชยน์ได้ในไตรมาส 3/2567 นี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในโครงการผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง ปริมาณ 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพื่อใช้ภายในโรงงาน GC ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 เช่นกัน

ส่วนปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในประเทศเวียดนามในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 9.1 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 17.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากยอดขายและการบริหารน้ำของโครงการ Duong River ที่เติบโตต่อเนื่องจากการขยายพื้นที่การให้บริการและปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 39.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจำนวน 12.3 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2567 เท่ากับ 302 ล้านบาท และ 654 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้ารวมปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้การบันทึกต้นทุนถ่านหินที่สูงในไตรมาสที่ผ่านมา และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงของลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้า Gulf TS2 และ TS3

สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่ม 12 สัญญา โดยแบ่งเป็นโครงการ Private PPA 11 สัญญา กำลังการผลิตประมาณ 13 เมกะวัตต์ และโครงการ EPC Service 1 สัญญา กำลังการผลิตรวม 1 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสม 256 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 932 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวน 682 เมกะวัตต์ และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 250 เมกะวัตต์

ส่วนโครงการที่บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน ได้มีการลงนามในสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว 4 โครงการ จำนวน 85 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในส่วนที่เหลืออีก 1 โครงการ จำนวน 40 เมกะวัตต์ ได้ภายในไตรมาส 3/2567 โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในช่วงปี 2572-2573

ธุรกิจดิจิทัล บริษัทฯ เดินหน้ายกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 นี้ ภายใต้ภารกิจ Mission To The Sun (MTTS) โดยมุ่งทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล การสร้างผลิตภัณฑ์ และมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ พร้อมเสริมศักยภาพทางธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยโครงการที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ โครงการ Green Logistics ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา Mobilix Platform ที่รวมบริการต่างๆ ตั้งแต่การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) ไปจนถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า และเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Voltality แพลตฟอร์มอีโรมมิ่งชั้นนำที่เชื่อมต่อผู้ให้บริการจุดชาร์จกับผู้ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ Datakrew ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์แบตเตอรี่ EV แบบ Real Time ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของบริษัทฯ

และบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าผลักดันโครงการ AI Transformation ที่นำเทคโนโลยี AI มาเสริมศักยภาพทางธุรกิจในทุกด้าน โดยล่าสุด ได้มีการพัฒนา Generative AI ให้มีการประมวลผลด้วย AI model ตัวล่าสุด GPT-4o ซึ่งสามารถประมวลผลได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ไฟล์เอกสาร ไฟล์เสียง และยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างปลอดภัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไปพร้อมๆ กัน

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับรางวัล ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของกลุ่มบริษัท อาทิ WHA Group และ WHAUP ได้รับรางวัล “คนดี รักษ์โลก” จากการขับเคลื่อนและตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้แนวทางพัฒนาไปสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงการต่อยอดการลงทุนในเรื่องพลังงานทดแทน การบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมผ่าน WHAUP ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ขณะเดียวกัน เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน ได้รับรางวัลในหมวดผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในงาน Vietnam Industrial Property Forum (VIPF) ปี 2024

อีกทั้งยังได้รับรางวัลจากสถาบันไทยพัฒน์ ที่ได้ประกาศให้ WHA WHART และ WHAIR ได้รับการคัดเลือกอย่างต่อเนื่องให้เข้าอยู่ในทำเนียบกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 โดยกองทรัสต์ WHART ได้รับการคัดเลือกเข้าอยู่ในทำเนียบกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ในขณะที่ WHAUP ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก และติดโผเป็น 1 ใน 19 หลักทรัพย์ ในทำเนียบ “บริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน” หรือ ESG Emerging List ประจำปี 2567