Articles
COP30 AND THE RACE TO PROTECT FORESTS
10/11/2025

คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบัน วิกฤตการณ์ป่าไม้ทั่วโลกกำลังกลายเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขตร้อนที่ถูกทำลายไปมากกว่า 67,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี หรือเทียบเท่าพื้นที่ของประเทศศรีลังกา การสูญเสียป่าในอัตราที่สูงเช่นนี้ไม่เพียงทำให้โลกขาดความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย เพราะป่าไม้มิใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เปรียบเสมือน "เกราะกำบังของโลก" ที่ถูกทำลาย
ประเด็นเกี่ยวกับป่าไม้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระสำคัญในการประชุม COP อย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในความคืบหน้าที่สำคัญคือ โครงการ REDD+ (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation) ภายใต้กรอบของ UNFCCC ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ในประเทศกำลังพัฒนา ผ่านการสร้างแรงจูงใจทางการเงินโดยประเทศที่เข้าร่วมจะได้รับคาร์บอนเครดิตตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ในการประชุม COP26 ผู้นำจากกว่า 100 ประเทศ (ครอบคลุมพื้นที่ป่าประมาณ 85% ของโลก) ได้ประกาศคำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะยุติการทำลายป่าภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกรอบความร่วมมือระดับนานาชาติเกิดขึ้นมากมาย แต่ปัจจุบันอัตราการสูญเสียป่าไม้ทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล ซึ่งหมายความว่า แม้ว่าโลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซจากในภาคส่วนอื่นได้ แต่ปริมาณคาร์บอนโดยรวมก็อาจไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านป่าไม้ได้
สำหรับการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในประเทศบราซิล ซึ่งเป็นที่ตั้งของป่าแอมะซอน ผืนป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดของโลก จึงถูกมองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกป้องผืนป่าโลก โดยหลายฝ่ายคาดหวังว่าใน COP30 จะเป็นเวทีที่โลกก้าวข้ามจาก “คำสัญญา” สู่ “การลงมือทำ” อย่างเป็นรูปธรรม โดยหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ถูกจับตามองคือ Tropical Forests Forever Facility (TFFF) หรือโครงการเงินทุนระยะยาวที่เสนอโดยรัฐบาลบราซิล เพื่อสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ประเทศที่มีป่าฝนเขตร้อนสามารถรักษาอัตราการตัดไม้ทำลายป่าให้น้อยกว่า 0.5% ต่อปี โดยกองทุนนี้มีเป้าหมายระดมทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนรวมมูลค่าสูงถึง 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเงินไปลงทุนในตลาดการเงินเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว จากนั้นจะนำผลกำไรที่ได้มาจัดสรรให้ประเทศที่รักษาป่าไว้ได้ตามสัดส่วนของพื้นที่ป่าที่คงอยู่ ขณะที่ประเทศที่มีการตัดไม้ทำลายป่าจะได้รับเงินสนับสนุนลดลงตามจำนวนพื้นที่ที่สูญเสียไป นอกจากนี้ยังมีกำหนดให้ไม่น้อยกว่า 20% ของเงินทั้งหมดที่ได้รับ จะต้องถูกส่งต่อให้กับชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ป่าตัวจริงในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแหล่งเงินทุนที่เพียงพอได้ แต่การดำเนินการด้านการอนุรักษ์ป่ายังคงต้องเผชิญความท้าทายอีกหลายประการ ทั้งจากเรื่องการจัดการสิทธิที่ดินและกฎหมายที่ไม่เป็นระบบทำให้การตัดไม้ทำลายป่ายังคงเกิดขึ้นแม้จะมีนโยบายควบคุม อีกทั้งยังมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม หากไม่สามารถแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง ผ่านการผลักดันนโยบายที่มีผลบังคับใช้ได้จริง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ความพยายามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอาจคงอยู่เพียงในระดับคำประกาศเจตนารมณ์โดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงต่อการปกป้องผืนป่าโลกนั่นเอง